ธีร์รัฐ ว่องวัฒนะสิน (Vickteerut)
เขาถูกขนานนามให้เป็นดีไซเนอร์ผู้มีพรสวรรค์ เจ้าของแบรนด์ Vickteerut (วิก ธีร์รัฐ) แบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิงออกแบบโดยฝีมือดีไซเนอร์ไทย ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยหยุดความฝันของตัวเองเพราะความล้มเหลวจากการบริหาร แต่วันนี้เขากลับมาอีกครั้งอย่างเข้าใจโลกมากขึ้น จนตอนนี้เสื้อผ้าที่เขาออกแบบเป็นที่ยอมรับจากเซเลบริตี้ในเมืองไทยหลายๆ คน ที่เลือกหยิบชุดของวิกธีร์รัฐ มาเป็นชุดเก่งในการใส่ออกงาน เขาเป็นอีกหนึ่งผลผลิตจากเซนต์ มาร์ติน ประเทศอังกฤษ สาขา Women Wear แต่ก่อนหน้านั้นเขายังเคยเรียนพื้นฐานการออกแบบที่ Accademia Italiana ประเทศอิตาลี อีกด้วย
เขาถูกขนานนามให้เป็นดีไซเนอร์ผู้มีพรสวรรค์ เจ้าของแบรนด์ Vickteerut (วิก ธีร์รัฐ) แบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิงออกแบบโดยฝีมือดีไซเนอร์ไทย ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยหยุดความฝันของตัวเองเพราะความล้มเหลวจากการบริหาร แต่วันนี้เขากลับมาอีกครั้งอย่างเข้าใจโลกมากขึ้น จนตอนนี้เสื้อผ้าที่เขาออกแบบเป็นที่ยอมรับจากเซเลบริตี้ในเมืองไทยหลายๆ คน ที่เลือกหยิบชุดของวิกธีร์รัฐ มาเป็นชุดเก่งในการใส่ออกงาน เขาเป็นอีกหนึ่งผลผลิตจากเซนต์ มาร์ติน ประเทศอังกฤษ สาขา Women Wear แต่ก่อนหน้านั้นเขายังเคยเรียนพื้นฐานการออกแบบที่ Accademia Italiana ประเทศอิตาลี อีกด้วย
บทสัมภาษณ์
“ไปเรียนที่อิตาลีโดยที่พูดภาษา อิตาเลียนไม่ได้ คิดแค่เพียงว่าเราอยากเรียนออกแบบ รู้สึกว่าอิตาลีเป็นเมืองที่สวย มีเสื้อผ้าเยอะ มีแหล่งชอปปิ้ง แต่พอไปถึงแล้วลำบากมากเพราะคนในพื้นที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ไปอยู่ได้ 3 วันโทรศัพท์บอกแม่ว่าจะกลับ...แต่แม่บอกให้ทนไปก่อน เราก็ทนไป จนสักพักก็เริ่มอยู่ได้ เราไปอยู่ฟลอเรนส์ซึ่งเป็นเมืองที่ สวยมาก แต่ก็เงียบสงบมากด้วย ขัดแย้งกับตัวเองที่เป็นคนชอบแสงสีบ้างๆ เพราะเราเคยอยู่ซิดนี่ย์ที่คึกคัก ทันสมัย ต้องค่อยๆ ปรับตัวช่วงเดือนสองเดือนแรกก็สนุก เพราะเที่ยวไปเรื่อยๆ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ไปเที่ยวโรม มิลาน เวนิส พอสัก 6 เดือนเที่ยวหมดแล้ว จากนั้นก็เริ่มบินไปเที่ยวประเทศใกล้ๆ บินไปหาเพื่อนที่เรียนอยู่อังกฤษบ้าง ซึ่งพอไปอังกฤษแล้วสนุกจึงลองหาที่เรียนที่อังกฤษและสมัครเรียนที่เซนต์มา ร์ติน
ความประหลาดของเซนต์มาร์ติน
เป็นที่เลื่องลืออยู่แล้วเรื่องของ ผู้ที่จบมาจากเซนต์มาร์ติน สุดยอดของโรงเรียนออกแบบระดับโลก เพราะแค่กว่าจะสอบคัดเลือกเข้าไปเรียนได้ก็ยากพอตัวอยู่ ดังนั้น จึงทำให้ที่นี่เป็นแหล่งรวมผู้ที่มีฝีมือและผู้ที่มีสไตล์ความเป็นตัวของตัว เองในระดับสูงมาก
“สังคมในเซนต์มาร์ตินเป็นโรงเรียนที่ มีแต่คนประหลาดๆ มารวมกัน คนที่เรียนจะไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ มีความเป็นศิลปินกันมาก แต่งตัวประหลาด มีอารมณ์ประหลาดๆ มีความคิดความอ่านไม่เหมือนคนอื่น แต่ละคนจะมีแนวทางของตัวเอง แต่รวมๆ แล้วเป็นโรงเรียนที่สนุกมาก ไปเรียนแล้วเหมือนไม่ได้ไปเรียนเลยหล่ะ เขาใช้ระบบ Self Study แต่ก็จะมีอะไรให้ทำทุกวัน ต้องทำโปรเจคเยอะมากให้ทำผลงานส่งทุกสองอาทิตย์ ไม่เข้าเรียนไม่ว่า แต่ถ้าไม่ส่งงานก็ตก ช่วงเรียนปี 1 เราก็ลัลลา ไปเที่ยว ชอปปิ้ง ไปปาร์ตี้ บางทีตอนเช้าตื่นไม่ไหวก็ไม่ไปเรียน แต่หลังๆ เริ่มรู้สึกว่าเราทำงานส่งไม่ทัน คะแนนเกือบตก จึงเรียนรู้ว่าเราต้องผลักดันตัวเองให้ทำงานมากขึ้นได้แล้ว พอปี 2 คะแนนก็ดีขึ้น พอปี 3 เราก็จบออกมาด้วยคะแนนเกียรตินิยม ตอนแรกก็ไม่เข้าใจระบบการสอนของเขาจน ใกล้จบนั่นแหละ เพราะชีวิตจริงการทำงานเราไม่สามารถมานั่งถามอาจารย์ได้ทุกจุด ต้องแก้ปัญหาเองก่อน ถ้าไม่ไหวก็ไปปรึกษาอาจารย์ และที่เซนต์มาร์ติน เขาพยายามฝึกให้เราใช้มือวาด ไม่ให้ใช้คอมพิวเตอร์ แม้แต่กล้องถ่ายรูปยังไม่อยากให้ใช้เลย ซึ่งก็เป็นผลดีเพราะทุกวันนี้ผมก็นั่งสเก็ตแบบเสื้อผ้าทุกแบบด้วยตัวเอง
ล้มครั้งแรก
ทันทีที่เรียนจบกลับมา ด้วยคอนเนกชั่นที่มีมาตั้งแต่สมัยกลับมาฝึกงานสไตลิสต์ตามนิตยสารต่างๆ ทำให้เขามีโอกาสก้าวเข้ามาสู่เวทียังก์ดีไซเนอร์ในช่วงสัปดาห์ “แอล แฟชั่น วีก” เมื่อปี 2005 และกลายเป็นยังก์ดีไซเนอร์ที่ถูกจับตามมอง
“ตอนแรกคิดว่าจะพักผ่อนไปเที่ยวก่อน ที่จะทำงานเพราะเหนื่อยจากช่วงที่ทำคอลเลกชั่นก่อนจบ แต่พอกลับมาทางนิตยสารแอลกำลังหายังก์ดีไซน์เนอร์ทำโชว์ของปีนั้น เขาติดต่อเรามา เราก็ตอบตกลงทันทีเพราะเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี
หลังจากโชว์เสร็จผลตอบรับดีมาก มีบายเยอร์ติดต่อหลายที่ เลยคิดว่างั้นทำแบรนด์เลยแล้วกัน ก็ทำแบรนด์ตั้งแต่ตอนนั้นเลย!!....ในเวลาประมาณ 2-3 ปี ทำออกมาได้ 3 คอลเลกชั่น รู้สึกว่ายอดขายไม่ได้ ลูกค้าชอบเสื้อผ้าเรานะ แต่ระบบการบริหารของเราเละเทะไปหมด มีปัญหาตั้งแต่กระบวนการผลิต การการจัดการคนก็ไม่ดี เพราะเราไม่มีความรู้ด้านนั้นเลย เลยขอหยุดก่อนดีกว่า ครอบครัวก็ไม่ว่าอะไรนะ เขาให้เราเรียนรู้เอง”
ลุกขึ้นอีกครั้ง
ในระหว่างที่เบรกความฝันในการทำแบ รนด์ของตัวเองนั้นในใจของธีร์รัฐก็ยังคงเก็บสะสมแรงบันดาลใจ และไอเดียอยู่เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งพี่ชายของเขา “คุณวิน-วีรกฤติ ว่องวัฒนะสิน” ก็เป็นคนหยิบแบรนด์ Vickteerut ของน้องชายมาปัดฝุ่นให้เขาได้ทำในสิ่งที่รักอีกครั้ง
“ช่วง 1 ปีที่หยุดไปก็ไม่ได้ทำอะไร แต่ระหว่างนั้นก็คิดทำคอลเลกชั่นใหม่ แต่ไม่ทำจริงสักที จนพี่ชายบอกว่ากลับมาทำใหม่ดีกว่า เดี๋ยวเขาเป็นคนบริหารให้เอง โดยเขาจะดูแลระบบบริหารการจัดการให้ บอกให้เราทำออกแบบอย่างเดียวเลย ซึ่งตรงกับสิ่งที่เราถนัดและรักอยู่แล้ว จึงกลับมาเปิดคอลเลกชั่น ทำประชาสัมพันธ์ให้สื่อเห็น ซึ่งผลตอบรับก็ดีขึ้น”ซึ่งก็ต้องขอบคุณประสบการณ์ในการล้มวันนั้นที่ทำให้วันนี้ “วิก-ธีรรัฐ” มีความเข้าใจถึงการทำแบรนด์และการออกแบบมากขึ้น ที่สำคัญคือการเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกแห่งความจริง
“ประสบการณ์ค่อยๆ สอนให้เรารู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ต้องแก้อย่างไร คราวนี้เราก็รู้ว่าสิ่งที่ทำผิดตอนนั้นหรือทำไปแล้วไม่เวิร์กก็ไม่ต้องทำ หาทางออกที่บาลานซ์ให้ได้ แม้ว่าจะยังไม่ค่อยเข้าใจหลักบริหารเท่าไหร่นัก แต่หลักการออกแบบให้ขายได้เรารู้มากขึ้น การออกแบบไม่ใช่แค่ออกแบบแต่ต้องคิดถึงกระบวนการตัดเย็บด้วย แต่ละชุดกระบวนการคิดเยอะมาก เราต้องคิดว่าการตัดเย็บ การทำแพตเทิร์น ต้องทำยังไงการผลิตออกมาใช้เวลาน้อยที่สุดและทุกอย่างต้องรันไปตามกระบวนการ ได้
อีกสิ่งหนึ่งที่เรียนรู้คือ เสื้อผ้าบางตัวออกแบบได้ แต่เอาออกมาขายไม่ได้ ก่อนหน้านี้ทำเสื้อผ้าชนิดที่ว่าตามใจตัวเอง ชั้นชอบชั้นก็ทำ ใครจะใส่ก็ใส่ แต่เดี๋ยวนี้เราต้องคิดว่าแบบนี้คนจะใส่หรือไม่ ใครเป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา ต้องค่อยๆ ปรับแต่ก็ไม่เสียความเป็นตัวของตัวเองไป ในคอลเลกชั่นหนึ่งยังมีเสื้อผ้าแบบแฟชั่นจัดๆ แบบที่เราอยากทำเป็นส่วนหนึ่งอยู่ด้วย แต่แบบที่เหลือต้องเป็นแบบที่ใส่ได้จริง”
Vickteerut
ในที่สุดในระยะเวลา 1 ปีที่เขากลับมา Vickteerut ได้กลายเป็นแบรนด์ที่เซเลบริตี้ในสังคมไทยหลายๆ คนกล่าวถึง รวมทั้งแฟชั่นนิสต้าทั่วไปก็ให้ความสนใจกับเสื้อผ้าของวิกธีร์รัฐด้วยเช่นกัน จนวันนี้เขามีร้าน Vickteerut แล้ว ถึง 5 สาขา
“ตอนที่กลับมาทำคอลเลกชั่นใหม่ ไม่ได้มีเงินทำมาร์เกตติ้งเยอะ แต่ผมโชคดีที่มีเพื่อนๆ และคนรู้จักที่เขาชอบสไตล์ของเราเป็นลูกค้า คราวนี้ก็เป็นเรื่องของปากต่อปาก อีกอย่างอาจเป็นเพราะเสื้อผ้าที่เราออกแบบเป็นแนวที่คนชอบ และเป็นแนวที่ใหม่ยังไม่มีด้วย คนก็เลยให้ผลตอบรับดี คำจำกัดความของ “Vickteerut “ ที่เราเห็นดีไซน์ของของเขาจะมีลวดลายกราฟิกลายเส้นคมจัด และมีความเป็นผู้หญิงที่เรียบโก้อยู่ในตัว โดยภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่ถูกสื่อผ่าน Vickteerut คือผู้หญิงที่ทันสมัย กระฉับกระเฉงและทะมัดทแมง
“Vickteerut ที่ผมออกแบบผมเน้นแนวกราฟฟิก เพราะชอบอะไรที่เป็นกราฟฟิคจัดๆ เส้นคมๆ จะมีความทันสมัยของลายเส้นเข้ามาเสริม เป็นโมเดิร์นชิค สามารถใส่ได้ในชีวิตประจำวันและดูดีทันสมัย แรงบันดาลใจทุกครั้งที่ทำงานมักจะมา เอง เวลาเห็นอะไรที่น่าสนใจก็จะคิดว่าถ้าลองเอามาทำก็น่าจะสวยนะ พอเริ่มจากคิดตรงจุดนั้นแล้วก็เอามาพัฒนาต่อไป แค่การที่เราออกไปข้างนอกทุกครั้งเป็นการเพิ่มไอเดียให้ตัวเองอยู่เสมอ ยิ่งการที่เราเป็นคนช่างสังเกตุยิ่งทำให้ได้ไอเดียมากขึ้น บางทีเราเห็นอะไรไปเรื่อยๆ เราอาจไม่รู้ตัวว่าเรากำลังจดจำสิ่งนั้นอยู่ แต่พอคิดออกมาและลงมือวาดบนกระดาษทุกอย่างที่เราเคยประทับใจจะออกมาโดย อัตโนมัติ อีกอย่างคือผมเป็นคนชอบของวินเทจ เพราะเวลาที่มองของวินเทจเราจะได้รายละเอียดที่น่าสนใจ เพราะจริงๆ แล้วแฟชั่นคือสิ่งที่มีคนเคยทำมาทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรใหม่หรอก เพียงแต่ว่าเราจะมองยังไงให้ออกมาเป็นมุมมองที่แตกต่าง และนำเสนอออกมา”
ขอแค่ยังมีความรักในสิ่งที่ตัวเองทำ และมีความเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น เราก็ยังสามารถมีความสุขกับชีวิตการทำงานของเราได้ ฉะนั้น ต่อให้ล้มสักกี่ครั้งเราก็ยังสามารถลุกขึ้นยืนได้เสมอ
“ไปเรียนที่อิตาลีโดยที่พูดภาษา อิตาเลียนไม่ได้ คิดแค่เพียงว่าเราอยากเรียนออกแบบ รู้สึกว่าอิตาลีเป็นเมืองที่สวย มีเสื้อผ้าเยอะ มีแหล่งชอปปิ้ง แต่พอไปถึงแล้วลำบากมากเพราะคนในพื้นที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ไปอยู่ได้ 3 วันโทรศัพท์บอกแม่ว่าจะกลับ...แต่แม่บอกให้ทนไปก่อน เราก็ทนไป จนสักพักก็เริ่มอยู่ได้ เราไปอยู่ฟลอเรนส์ซึ่งเป็นเมืองที่ สวยมาก แต่ก็เงียบสงบมากด้วย ขัดแย้งกับตัวเองที่เป็นคนชอบแสงสีบ้างๆ เพราะเราเคยอยู่ซิดนี่ย์ที่คึกคัก ทันสมัย ต้องค่อยๆ ปรับตัวช่วงเดือนสองเดือนแรกก็สนุก เพราะเที่ยวไปเรื่อยๆ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ไปเที่ยวโรม มิลาน เวนิส พอสัก 6 เดือนเที่ยวหมดแล้ว จากนั้นก็เริ่มบินไปเที่ยวประเทศใกล้ๆ บินไปหาเพื่อนที่เรียนอยู่อังกฤษบ้าง ซึ่งพอไปอังกฤษแล้วสนุกจึงลองหาที่เรียนที่อังกฤษและสมัครเรียนที่เซนต์มา ร์ติน
ความประหลาดของเซนต์มาร์ติน
เป็นที่เลื่องลืออยู่แล้วเรื่องของ ผู้ที่จบมาจากเซนต์มาร์ติน สุดยอดของโรงเรียนออกแบบระดับโลก เพราะแค่กว่าจะสอบคัดเลือกเข้าไปเรียนได้ก็ยากพอตัวอยู่ ดังนั้น จึงทำให้ที่นี่เป็นแหล่งรวมผู้ที่มีฝีมือและผู้ที่มีสไตล์ความเป็นตัวของตัว เองในระดับสูงมาก
“สังคมในเซนต์มาร์ตินเป็นโรงเรียนที่ มีแต่คนประหลาดๆ มารวมกัน คนที่เรียนจะไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ มีความเป็นศิลปินกันมาก แต่งตัวประหลาด มีอารมณ์ประหลาดๆ มีความคิดความอ่านไม่เหมือนคนอื่น แต่ละคนจะมีแนวทางของตัวเอง แต่รวมๆ แล้วเป็นโรงเรียนที่สนุกมาก ไปเรียนแล้วเหมือนไม่ได้ไปเรียนเลยหล่ะ เขาใช้ระบบ Self Study แต่ก็จะมีอะไรให้ทำทุกวัน ต้องทำโปรเจคเยอะมากให้ทำผลงานส่งทุกสองอาทิตย์ ไม่เข้าเรียนไม่ว่า แต่ถ้าไม่ส่งงานก็ตก ช่วงเรียนปี 1 เราก็ลัลลา ไปเที่ยว ชอปปิ้ง ไปปาร์ตี้ บางทีตอนเช้าตื่นไม่ไหวก็ไม่ไปเรียน แต่หลังๆ เริ่มรู้สึกว่าเราทำงานส่งไม่ทัน คะแนนเกือบตก จึงเรียนรู้ว่าเราต้องผลักดันตัวเองให้ทำงานมากขึ้นได้แล้ว พอปี 2 คะแนนก็ดีขึ้น พอปี 3 เราก็จบออกมาด้วยคะแนนเกียรตินิยม ตอนแรกก็ไม่เข้าใจระบบการสอนของเขาจน ใกล้จบนั่นแหละ เพราะชีวิตจริงการทำงานเราไม่สามารถมานั่งถามอาจารย์ได้ทุกจุด ต้องแก้ปัญหาเองก่อน ถ้าไม่ไหวก็ไปปรึกษาอาจารย์ และที่เซนต์มาร์ติน เขาพยายามฝึกให้เราใช้มือวาด ไม่ให้ใช้คอมพิวเตอร์ แม้แต่กล้องถ่ายรูปยังไม่อยากให้ใช้เลย ซึ่งก็เป็นผลดีเพราะทุกวันนี้ผมก็นั่งสเก็ตแบบเสื้อผ้าทุกแบบด้วยตัวเอง
ล้มครั้งแรก
ทันทีที่เรียนจบกลับมา ด้วยคอนเนกชั่นที่มีมาตั้งแต่สมัยกลับมาฝึกงานสไตลิสต์ตามนิตยสารต่างๆ ทำให้เขามีโอกาสก้าวเข้ามาสู่เวทียังก์ดีไซเนอร์ในช่วงสัปดาห์ “แอล แฟชั่น วีก” เมื่อปี 2005 และกลายเป็นยังก์ดีไซเนอร์ที่ถูกจับตามมอง
“ตอนแรกคิดว่าจะพักผ่อนไปเที่ยวก่อน ที่จะทำงานเพราะเหนื่อยจากช่วงที่ทำคอลเลกชั่นก่อนจบ แต่พอกลับมาทางนิตยสารแอลกำลังหายังก์ดีไซน์เนอร์ทำโชว์ของปีนั้น เขาติดต่อเรามา เราก็ตอบตกลงทันทีเพราะเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี
หลังจากโชว์เสร็จผลตอบรับดีมาก มีบายเยอร์ติดต่อหลายที่ เลยคิดว่างั้นทำแบรนด์เลยแล้วกัน ก็ทำแบรนด์ตั้งแต่ตอนนั้นเลย!!....ในเวลาประมาณ 2-3 ปี ทำออกมาได้ 3 คอลเลกชั่น รู้สึกว่ายอดขายไม่ได้ ลูกค้าชอบเสื้อผ้าเรานะ แต่ระบบการบริหารของเราเละเทะไปหมด มีปัญหาตั้งแต่กระบวนการผลิต การการจัดการคนก็ไม่ดี เพราะเราไม่มีความรู้ด้านนั้นเลย เลยขอหยุดก่อนดีกว่า ครอบครัวก็ไม่ว่าอะไรนะ เขาให้เราเรียนรู้เอง”
ลุกขึ้นอีกครั้ง
ในระหว่างที่เบรกความฝันในการทำแบ รนด์ของตัวเองนั้นในใจของธีร์รัฐก็ยังคงเก็บสะสมแรงบันดาลใจ และไอเดียอยู่เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งพี่ชายของเขา “คุณวิน-วีรกฤติ ว่องวัฒนะสิน” ก็เป็นคนหยิบแบรนด์ Vickteerut ของน้องชายมาปัดฝุ่นให้เขาได้ทำในสิ่งที่รักอีกครั้ง
“ช่วง 1 ปีที่หยุดไปก็ไม่ได้ทำอะไร แต่ระหว่างนั้นก็คิดทำคอลเลกชั่นใหม่ แต่ไม่ทำจริงสักที จนพี่ชายบอกว่ากลับมาทำใหม่ดีกว่า เดี๋ยวเขาเป็นคนบริหารให้เอง โดยเขาจะดูแลระบบบริหารการจัดการให้ บอกให้เราทำออกแบบอย่างเดียวเลย ซึ่งตรงกับสิ่งที่เราถนัดและรักอยู่แล้ว จึงกลับมาเปิดคอลเลกชั่น ทำประชาสัมพันธ์ให้สื่อเห็น ซึ่งผลตอบรับก็ดีขึ้น”ซึ่งก็ต้องขอบคุณประสบการณ์ในการล้มวันนั้นที่ทำให้วันนี้ “วิก-ธีรรัฐ” มีความเข้าใจถึงการทำแบรนด์และการออกแบบมากขึ้น ที่สำคัญคือการเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกแห่งความจริง
“ประสบการณ์ค่อยๆ สอนให้เรารู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ต้องแก้อย่างไร คราวนี้เราก็รู้ว่าสิ่งที่ทำผิดตอนนั้นหรือทำไปแล้วไม่เวิร์กก็ไม่ต้องทำ หาทางออกที่บาลานซ์ให้ได้ แม้ว่าจะยังไม่ค่อยเข้าใจหลักบริหารเท่าไหร่นัก แต่หลักการออกแบบให้ขายได้เรารู้มากขึ้น การออกแบบไม่ใช่แค่ออกแบบแต่ต้องคิดถึงกระบวนการตัดเย็บด้วย แต่ละชุดกระบวนการคิดเยอะมาก เราต้องคิดว่าการตัดเย็บ การทำแพตเทิร์น ต้องทำยังไงการผลิตออกมาใช้เวลาน้อยที่สุดและทุกอย่างต้องรันไปตามกระบวนการ ได้
อีกสิ่งหนึ่งที่เรียนรู้คือ เสื้อผ้าบางตัวออกแบบได้ แต่เอาออกมาขายไม่ได้ ก่อนหน้านี้ทำเสื้อผ้าชนิดที่ว่าตามใจตัวเอง ชั้นชอบชั้นก็ทำ ใครจะใส่ก็ใส่ แต่เดี๋ยวนี้เราต้องคิดว่าแบบนี้คนจะใส่หรือไม่ ใครเป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา ต้องค่อยๆ ปรับแต่ก็ไม่เสียความเป็นตัวของตัวเองไป ในคอลเลกชั่นหนึ่งยังมีเสื้อผ้าแบบแฟชั่นจัดๆ แบบที่เราอยากทำเป็นส่วนหนึ่งอยู่ด้วย แต่แบบที่เหลือต้องเป็นแบบที่ใส่ได้จริง”
Vickteerut
ในที่สุดในระยะเวลา 1 ปีที่เขากลับมา Vickteerut ได้กลายเป็นแบรนด์ที่เซเลบริตี้ในสังคมไทยหลายๆ คนกล่าวถึง รวมทั้งแฟชั่นนิสต้าทั่วไปก็ให้ความสนใจกับเสื้อผ้าของวิกธีร์รัฐด้วยเช่นกัน จนวันนี้เขามีร้าน Vickteerut แล้ว ถึง 5 สาขา
“ตอนที่กลับมาทำคอลเลกชั่นใหม่ ไม่ได้มีเงินทำมาร์เกตติ้งเยอะ แต่ผมโชคดีที่มีเพื่อนๆ และคนรู้จักที่เขาชอบสไตล์ของเราเป็นลูกค้า คราวนี้ก็เป็นเรื่องของปากต่อปาก อีกอย่างอาจเป็นเพราะเสื้อผ้าที่เราออกแบบเป็นแนวที่คนชอบ และเป็นแนวที่ใหม่ยังไม่มีด้วย คนก็เลยให้ผลตอบรับดี คำจำกัดความของ “Vickteerut “ ที่เราเห็นดีไซน์ของของเขาจะมีลวดลายกราฟิกลายเส้นคมจัด และมีความเป็นผู้หญิงที่เรียบโก้อยู่ในตัว โดยภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่ถูกสื่อผ่าน Vickteerut คือผู้หญิงที่ทันสมัย กระฉับกระเฉงและทะมัดทแมง
“Vickteerut ที่ผมออกแบบผมเน้นแนวกราฟฟิก เพราะชอบอะไรที่เป็นกราฟฟิคจัดๆ เส้นคมๆ จะมีความทันสมัยของลายเส้นเข้ามาเสริม เป็นโมเดิร์นชิค สามารถใส่ได้ในชีวิตประจำวันและดูดีทันสมัย แรงบันดาลใจทุกครั้งที่ทำงานมักจะมา เอง เวลาเห็นอะไรที่น่าสนใจก็จะคิดว่าถ้าลองเอามาทำก็น่าจะสวยนะ พอเริ่มจากคิดตรงจุดนั้นแล้วก็เอามาพัฒนาต่อไป แค่การที่เราออกไปข้างนอกทุกครั้งเป็นการเพิ่มไอเดียให้ตัวเองอยู่เสมอ ยิ่งการที่เราเป็นคนช่างสังเกตุยิ่งทำให้ได้ไอเดียมากขึ้น บางทีเราเห็นอะไรไปเรื่อยๆ เราอาจไม่รู้ตัวว่าเรากำลังจดจำสิ่งนั้นอยู่ แต่พอคิดออกมาและลงมือวาดบนกระดาษทุกอย่างที่เราเคยประทับใจจะออกมาโดย อัตโนมัติ อีกอย่างคือผมเป็นคนชอบของวินเทจ เพราะเวลาที่มองของวินเทจเราจะได้รายละเอียดที่น่าสนใจ เพราะจริงๆ แล้วแฟชั่นคือสิ่งที่มีคนเคยทำมาทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรใหม่หรอก เพียงแต่ว่าเราจะมองยังไงให้ออกมาเป็นมุมมองที่แตกต่าง และนำเสนอออกมา”
ขอแค่ยังมีความรักในสิ่งที่ตัวเองทำ และมีความเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น เราก็ยังสามารถมีความสุขกับชีวิตการทำงานของเราได้ ฉะนั้น ต่อให้ล้มสักกี่ครั้งเราก็ยังสามารถลุกขึ้นยืนได้เสมอ